ต้องขออนุญาตใช้คำว่า แบตเตอรี่ นะครับ ถึงจะถูก
โดยปกติแล้ว แบตเตอรี่ที่ติดรถยนต์มา จะเป็นแบตเตอรี่ที่เรียกว่า แบต OEM หรือแบตติดรถ ซึ่งจะมีคอส
และคุณภาพต่ำกว่า แบตที่ขายตามท้องตลาด แบต OEM มีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 แต่ปี ถ้าขับน้อยไม่ควรเกิน 2 ปี
ค่าไฟ ไม่ต่ำกว่า 12 V ส่วนแบตที่ซื้อตามท้องตลาดเราเรียกว่าแบต REM จะมี Cell แบตเตอรี่มากกว่า OEM
แบตเตอรี่ REM ก็แบ่งออกได้อีก 2 ประเภท คือ1. แบตน้ำ ก็คือแบตเตอรี่ ที่ต้องเติมน้ำกลั่น ต้องดูแลตลอด แต่มีอายุการใช้งานได้นาน ถ้าดูแลดี สามารถใช้ได้ถึง 3-4 ปี
2. แบตแห้ง ที่เรียกกันติดปาก หรือ แบต Free maintenance ก็คือแบตชนิดไม่ต้องบำรุงรักษา คือ ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น แบตชนิดนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบตแห้ง 100% นะคับ แต่จะมีน้ำกลั่นชนิดเข้มข้น เติมอยู่ภายในแล้ว ซีนฝาปิดสนิด เพื่อไม่ให้น้ำกลั่นระเหยออกมา
แบตแห้ง หรือ แบต Free maintenance จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี โดยไม่ต้องดูแลเลย ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น เพราะไม่มีรูให้เติม อิอิ วิธิเช็คไฟ จะมีรูให้ส่อง เรียกว่า "ตาแมว" จะแสดงสีบอกสถานะของไฟ
แบตแห้งจะมีราคาแพงกว่าแบตน้ำ อายุการใช้งานน้อยกว่า
ส่วนแบตเตอรี่ ยี่ห้อไหนก็แล้วแต่จะชอบคับ นานาจิตตัง
แต่จะให้ผมแนะนำก็ GS Battery อยู่แล้วครับ อิอิ (mk-44)
แบตน้ำ รุ่น GS NS60L(S)
แบตแห้ง รุ่น GS D60L-DOUBLE-LID Free Maintenance
ร้านขายก็ร้านตามข้างทางทั่วไป ที่มีสัญลักษณ์ GS ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย ราคาอยู่ที่ พันกว่าบาท จนถึง สองพันกว่าบาท
เวลาเปลี่ยนแบต ก็แนะนำให้ต่อจั้มไฟสำรองครับ
เพราะถ้าเราถอดแบตออกไปเลย ก็เท่ากับ การ Reset ECU นาฬิกา วิทยุ ระบบไฟทั้งหมด
แล้วก็ต้องมา Set ECU ใหม่ด้วยนะครับ ซึ่งวิธีการ Set ECU สามารถดูได้จากหนังสือคู่มือที่ติดมากับรถ
D60L-DL เป็นแบตเตอรี่ขนาด 12V 45Ah
รถที่ไม่มีการเพิ่มอุปกรณ์เครื่องเสียง ไม่จำเป็นต้อง เพิ่มแบตครับ แค่ที่มีอยู่ก็เพียงพอครับ
ส่วนถ้ามีการเพิ่ม แล้วจะเพิ่มเท่าไหร่ เพิ่มยังไง
แนะนำให้สอบถามร้านติดตั้งเครื่องเสียงครับ แต่ส่วนใหญ่จะติดแยกกันเลย ไม่รวมกับระบบไฟ รถยนต์
จริง การ RESET ECU ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรมากมาย แต่ทำบ่อย ๆ ไม่ดีนะคับ
ก็อาจจะมีผลแค่ช่วงเดือนแรก ๆ ครับ
ขออนุญาตินำข้อมูลที่พี่ท่าโร่ ได้ตอบไว้มาตอบครับ
ในกล่อง ECU มีระบบย่อยอยู่หลายระบบ แต่มีอยู่ 2 ระบบที่ใช้หน่วยความจำครับ ได้แก่
ระบบ EFI (Electronic Fuel Injection) ทำหน้าที่ประเมินการจ่ายเชื้อเพลิงที่เหมาะสม ข้อมูลการทำงานของระบบปัจจุบันจะถูกบันทึกไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย
ระบบ ESA (Electronic Spark Advance) ทำหน้าที่คำนวณเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการจุดระเบิด ข้อมูลการทำงานจะถูกบันทึกไว้ใช้ในคราวต่อไปเช่นกัน
ทั้งสองระบบมีการรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์และข้อมูลเดิมในหน่วยความจำ เพื่อประมวลผลร่วมกัน ให้ได้ค่าที่ดีที่สุดครับ
หากเราตัดไฟไป จะต้องให้เครื่องยนต์สร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่ ด้วยการให้เครื่องยนต์ทำงานไประยะนึง เร็วที่สุดก็ทำตามที่ศูนย์แนะนำคือสตาร์ทเครื่องยนต์ที่รอบเดินเบาทิ้งไว้ 20 นาที โดยต้องงดใช้ระบบไฟทั้งหมด (อันนี้เกี่ยวข้องกับการวัดเวลาการจุดระเบิดครับ ต้องแม่นยำ ไร้สิ่งรบกวนและได้ใช้ไฟเต็มระบบ) หรือถ้าไม่คิดมาก ก็ขับไปเรื่อยๆ ข้อมูลพอเมื่อไหร่ ระบบต่างๆ จะกลับมาทำงานตามปกติเอง
มากไปกว่านั้นคือใน ECU มีระบบ Fail-Safe System คือเมื่อเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ระบบจะนำค่ามาตรฐานมาใช้ทันที ซึ่งจะคล้ายกับการที่เราถอดแบตออกนั่นเอง
ระบบย่อยอื่นๆ จะเป็นการประมวลผลด้วยเซ็นเซอร์ที่รับค่าปัจจุบันมาแล้วตอบสนองตามนั้นไป ไม่มีการเก็บข้อมูลไว้
ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องถอดแบตเพื่อรีเซ็ตระบบในภาวะปกติครับ แต่การถอดแบตออกเป็นการรีเซ็ต Error ของระบบ Diagnosis System มากกว่าครับ เพื่อให้ไฟแจ้งข้อผิดพลาดดับไป เป็นการแก้ปัญหาแบบบ้านๆ แต่เวิร์คดีเหมือนกันครับ
การดูแล
1.ควรหลีกเลี่ยงความร้อนและความชื้น แต่สภาพอากาศแบบบ้านเราคงยากสักหน่อย
2. ส่วนฝุ่นละอองและความสกปรก รวมทั้งการกระทบกระเทือนรุนแรง อาจเป็นสาเหตุให้ระบบทำงานผิดปกติได้
3. หลีกเลี่ยงสถานการณ์กระแสไฟฟ้ากระชากอย่างกะทันหัน โดยอย่าพยายามใช้สายไฟเขี่ยให้เกิดประกายไฟ หรือถอดขั้วแบตเตอรี่ออกขณะเครื่องยนต์ยังติดอยู่
เพราะจะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่ครบวงจร
4. ที่สำคัญอย่าใช้น้ำฉีดล้างภายในห้องเครื่องยนต์ เพราะแรงดันน้ำอาจเป็นอันตรายกับอุปกรณ์จุดระเบิดได้
ข้อมูลส่วนนี้
มาจากที่นี่...