มาดูคำที่จะมาเกี่ยวข้องก่อนนะครับ จะได้เข้าใจความหมายแต่ละคำกันก่อน ;)
- A/F หรือ AFR ก็มาจากคำว่า Air Fuel Ratio คืออัตราส่วนผสมระหว่างอากาศและเชื้อเพลิง
ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้การสันดาปหรือการระเบิดในกระบอกสูบนั้นสมบูรณ์ที่สุดคือ คือ 14.7: 1
นั่นคือมวลอากาศ 14.7 กรัม ต่อมวลน้ำมัน 1 กรัม
- Stoich คือคำที่ใช้เรียกค่า A/F ที่เท่ากับ 14.7 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ
- Lean ถ้าค่า A/F มากกว่า 14.7 มาก จะเรียกว่า Lean หรือน้ำมันน้อย(ส่วนผสมบาง)ไป
- Rich ถ้าค่า A/F น้อยกว่า 14.7 มาก จะเรียกว่า Rich หรือน้ำมันมาก(ส่วนผสมหนา)ไป
- Lambda ก็เป็นการแสดงค่า Air Fuel Ratio อีกรูปแบบหนึ่งครับ โดยค่า Lambda จะหาได้จากสูตร
Lambda = AFR / Stoich(14.7) ซึ่งถ้า ค่า AFR = 14.7 ก็จะได้ค่า Lambda =1 โดยที่
ค่า Lambda นี้หมายถึงการสันดาปสมบูรณ์ที่สุด
การบำรุงรักษา O2 Sensor
ข้อมูลในส่วนตรงนี้มันค่อนข้างจะไม่แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ, รุ่นของ sensor และตามการใช้งานครับ ผมขออ้างอิงตามของ Bosch แล้วกันครับ โดย O2 sensor ควรตรวจสอบทุกๆ 30,000 กม. และควรเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด
ระยะการใช้งานตามประเภทเซ็นเซอร์
- Unheated: ทุกๆ 50,000 กม. / ทุกๆ 80,000 กม.
- Heated 1st generation: ทุกๆ 100,000 กม.
- Heated 2nd generation: ทุกๆ 160,000 กม
- Planar sensors: ทุกๆ 160,000 กม.
O2 sensor ตัวนี้ที่หลายๆคน(ผมด้วยอีกแล้ว)มองข้ามมันไป มันมีผลต่อเครื่องยนต์มากต่อการจ่ายน้ำมัน ถ้าเกิดว่าตัวนี้เกิดอาการเพี้ยนหรือเสียแล้ว ก็จะไม่สามารถเช็คได้ว่า A/F เหมาะสมหรือไม่
การเกิดการเสียหรือเพี้ยน อาการที่พบส่วนใหญ่ก็คือ"รถกินน้ำมันมากขึ้นและกำลังเครื่องตก" เนื่องจากสัญญาณที่ได้จาก O2 sensor จะบอกว่ามีออกซิเจนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้มาก ทำให้กล่องมีการสั่งให้ฉีดน้ำมันเพิ่มมากขึ้นและมันจะค่อยๆมากขึ้น
เรื่อยๆ ก็จะทำให้การเผาไหม้น้ำมันไม่หมดออกที่ทางท่อไอเสีย ก็จะทำให้เราได้กลิ่นน้ำมันครับ (ตรงนี้ล่ะครับที่เป็นสิ่งที่บอกเราได้บ้างว่าการเผาไหม้ไม่หมดจด เนื่องจากน้ำมันหนามาก) อื้ม !! และทำให้แคตฯ อายุสั้นด้วยครับ
กลับเข้าเรื่องอีกทีครับ มาดูกันเลยกับ 3 อาการหมายเหตุ : "หลุด range" เนื่องจาก O2 sensor ที่ใช้เป็นแบบ narrow band จะให้เส้นกราฟที่ชันในช่วง Stoich (A/F=14.7) หากวัด A/F ได้น้อยกว่า 14 มากๆ ก็จะถือว่าช็อต แต่ถ้าวัด A/F ได้มากกว่า 15 มากๆ ก็จะถือว่าขาดครับ (งงกันมั้ย)
- ดี อันนี้ก็ไม่ต้องพูดมากครับ ถ้าเบิกมาใหม่ๆ ใส่แล้วไฟ engine ไม่โชว์, ไม่มีกลิ่นน้ำมันออกท่อไอเสีย, เครื่องทำงานปกติ เป็นแบบนี้ก็ถือว่าดีไว้ก่อน
- เสีย อันนี้ก็แน่นอนครับ เพราะส่วนใหญ่ไฟ engine จะโชว์ โดยการตรวจสอบของกล่อง ECU จะมีการตรวจสอบแบบง่ายๆ คือ ขาด - ช็อต - หลุด range
- เพี้ยน นี่ล่ะครับตัวปัญหาเลย ถ้าไฟ engine ขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้างก็แสดงว่ามันเริ่มจะหลุด range แล้ว สาเหตุก็อาจจะมาจากคราบสกปรกที่เกาะอยู่ที่หัว O2 sensor หรือ O2 sensor จะสิ้นอายุขัยแล้วครับ (ได้เวลาเสียเงินอีกแล้ว)
ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง สมัครสมาชิก หรือ ลงชื่อเข้าระบบ ภาพสัญญลักษณ์ของตัว O2 Sensor |
วัดกันจริงๆ แล้วล่ะ เอาแบบง่ายๆ บ้านๆ แล้วกันครับ
เครื่องมือและอุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรมาก ก็มี มัลติมิเตอร์ (วัดโอห์ม+วัดโวลล์), แหล่งจ่ายไฟ 12 โวลล์ (แบตฯก็ได้), ไฟแช็ค และก็ HO2 sensor ที่ต้องการวัด จะเริ่มจากข้อ 1 ก่อน ถ้าพบว่าเสีย ข้อ 2 ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเวลา
1. วัด Heater ก่อนครับว่าขาดหรือไม่ โดยค่าความต้านทานจะอยู่ประมาณ 2-5 โอห์มครับ หากวัดแล้วค่าเป็น infinity หรือสูงมากๆ ก็แสดงว่า heater ขาดครับ แต่ถ้าน้อยเป็น 0 โอห์มก็ช๊อตล่ะครับ
2. วัดค่า output ของ sensor ครับ โดยการจ่ายไฟ 12 โวลล์เข้าขั้ว heater เพื่อให้ O2 sensor ทำงาน จากนั้นก็วัดแรงดันที่ออกมาจากขั้วเซนเซอร์ (+,-) แรงดันที่ออกมาจะอยูในช่วงประมาณ 0.2-0.8 โวลล์ ขึ้นอยู่กับปริมาณของออกซิเจนโดยรอบหัวเซนเซอร์ครับ
- โดยถ้าหาก ออกซิเจนน้อย แรงดันที่ออกมาจะมาก
- แต่ถ้าหาก ออกซิเจนมาก แรงดันที่ออกมาจะน้อย (แปรผกผันกันครับ)
3. เผามันเลย !! ครับ เอาแบบนี้เลย ทำต่อจากข้อ 2. ครับ โดยจุดไฟแช็คให้เปลวไฟอยู่ที่หัวเซนเซอร์ แล้วลองเอาเข้า-ออก ค่าแรงดันก็จะสวิงตามครับ เมื่อเปลวไฟอยู่ที่หัวเซนเซอร์ค่าแรงดันที่ออกมาจะสูงกว่าเนื่องจากภายในเปลวไฟจะไม่มีออกซิเจนอยู่ครับ
ถ้า 1 โยนทิ้งครับ ของใหม่ ของ Kia 3,6XX ครับของเทียบมีตั้งแต่ 1000 ขึ้นไปครับ
ถ้า 2. ผมมีวิธีให้เล่นกันครับ ถอด O2 Sensor ออกมาครับ แล้วทำความสะอาดเบื้องต้น ด้วยอะไรก็ได้ครับที่ล้างคราบน้ำมันออกได้ เช่น ผงซักฟอก หรือ ทินเนอร์ไปเลย แล้วทำให้แห้งสนิท (อาจตากแดดไว้) พอแห้งสนิทแล้ว หา วิกซอล มาครับ เอามาเทใส่ภาชนะพอท่วมหัววัด(เฉพาะส่วนที่อยู่ในท่อไอเสียถึงเกรียว)ในแนวตั้งหรือเอียงนิดหน่อยก็ได้ครับ ทิ้งไว้ซัก 20 นาที แล้วเอาขึ้นมาล้างด้วยน้ำสะอาดครับ เยอะ ๆ นะครับ ล้างจนมั่นใจว่าวิกซอล ออกหมด แล้ว ยัดเข้าที่เดิม ครับ เสร็จ แล้ว ลองวิ่งดูครับ
O2 เป็นตัววัดและแสดงผลเป็นสัญญานไฟฟ้า มันจะผลิต 0.5 V. เมื่อการเผาไหม้สมบูรณ์ ต่ำกว่า 0.5 V. เมื่อมีอากาศมาก สูงกว่า 0.5 V. เมื่อมีเชื้อเพลิงมาก |
คันที่ใช้อยู่ ช่วงเดินเบา ไฟ Engine ติดบ้างไม่ติดบ้าง (ใช้แก๊ส)
ด้วยความสงสัย จึงทำการมุดเข้าไต้ท้องรถเพื่อถอด O2 sensor มาดู
แล้วก็ได้พบว่า สายสัญญาณของเซ็นเซอร์ชำรุดสองเส้น หน้ากระเบื้องของเซ็นเซอร์เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ คงไม่เป็นไร
จึงทำการพันสายไฟที่ชำรุดนี้ แล้วประกอบเข้าไปตามเดิม
ขับต่อไป