ข่าวประชาสัมพันธ์

มาร่วมเป็นกำลังใจให้เว็บด้วยการสมัครสมาชิกวีไอพี ~~ เลือกปีที่ท่านต้องการได้โดยไม่ต้องเรียงปี ~~ ปีละ 350 บาท สมัคร 2 ปีลดเหลือ 600 บาท ~~ มีไลน์กลุ่ม VIP จำนวนหลายร้อยท่าน เอาไว้ปรึกษางานซ่อม ~~ เข้าถึงข้อมูลด้านเทคนิค ข้อมูลเชิงลึกมากมาย.....


ผู้เขียน หัวข้อ: ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))  (อ่าน 4532 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Auto Man

  • Administrator
  • หัวหน้าศูนย์ซ่อมสร้าง
  • *****
  • เจ้าของกระทู้
  • Joined: ก.ย. 2558
  • กระทู้: 37146
  • สมาชิกลำดับที่ : 1
  • เพศ: ชาย
  • มือผู้ให้ย่อมสูงกว่ามือผู้รับ
    • เว็บชุมชนคนรักช่างยนต์
    • อีเมล์
((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
« เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:09:14 »
  • ขึ้นบน
  • ลงล่าง
  •    ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla 

       
     

    TOYOTA CLUB RACE

     

       โตโยต้าโคโรลล่า (Toyota Corolla) 
    (Corolla แปลว่า กลีบดอกไม้)เป็นรถโตโยต้ารุ่นที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการขายและการเป็น ที่นิยมมายาวนาน โดยเฉพาะในเมืองไทย รู้จักรถโคโรลล่านี้มาอย่างกว้างขวางและยาวนานโดยเฉพาะในปัจจุบัน นิยมเอารถโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส (Toyota Corolla Altis) มาทำรถแท็กซี่ในเมืองไทย
    โดยรถโตโยต้า โคโรลล่า จัดอยู่ในระดับรถขนาดเล็กมาก (Subcompact) ในโฉมที่ 1-5 ส่วนโฉมที่ 6 เป็นต้นมา จัดอยู่ในระดับรถขนาดเล็ก (Compact)
    โคโรลล่า เป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับ ฮอนด้า ซีวิค นิสสัน ทีด้า เชฟโรเล็ต ออพตร้า และ มิตซูบิชิ แลนเซอร์
    ในฐานะที่เป็นรถที่ไม่เล็กเกินไปในการใช้เป็นรถครอบครัว ทำให้สามรุ่นนี้เป็นรถที่พบเห็นได้ค่อนข้างมากบนท้องถนนไทยในปัจจุบัน มีวิวัฒนาการตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
    แบ่งเป็น 10 รูปโฉม ได้แก่……………………………..

    Generation ที่ 1 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1966-1970)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 1โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1966 รหัสตัวถัง KE10 โดยในช่วงแรก ผลิตเพียงตัวถังแบบ sedan 2 ประตู แล้วตัวถังแบบ sedan 4 ประตูเริ่มมีใน ค.ศ. 1967 และตัวถัง station
    wagon 4 ประตู ก็เริ่มผลิตใน ค.ศ. 1968 และตามด้วยรถ coupe 2 ประตูปิดท้ายรุ่น โดยรถคูเป้ 2 ประตู โคโรลล่าได้ตั้งชื่อเฉพาะให้ว่า โคโรลล่า สปรินเตอร์ รหัสตัวถัง KE15 โดยในระหว่างโฉมแรกนี้มี 2 ขนาดเครื่องยนต์ให้เลือก คือ 1.1 ลิตรในช่วงแรก และ 1.2 ลิตรในช่วง ค.ศ. 1969 เป็นต้นไป ระบบเกียร์ในสมัยนั้น ไม่เน้นการประหยัดน้ำมัน และเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า ระบบเกียร์ในรถโคโรลล่าโฉมนี้ จึงมี 2 ระบบให้เลือก คือ เกียร์ธรรมดาเพียง 4 สปีด และเกียร์อัตโนมัติเพียง 2 สปีด แต่การที่มีเครื่องยนต์ลูกสูบขนาดเล็ก ทำให้รถประหยัดน้ำมัน ชดเชยการที่เกียร์มีไม่กี่สปีด โคโรลล่าเลิกผลิตโฉมนี้ใน ค.ศ. 1970 เนื่องจากมีการเปิดตัว โคโรลล่า โฉมที่ 2

    Generation ที่ 2 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1970-1978)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 2โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1970 รหัสตัวถัง KE20 โดยรถรุ่นโคโรลล่า สปรินเตอร์ (Corolla Sprinter) มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง sedan เข้าไปในเมนูผลิต และมีการเปิดตัวรถรุ่น โคโรลล่า เลวิน (Corolla Levin) และ โคโรลล่า ทรูโน (Corolla Trueno) โดยนำตัวถังแบบ coupe GT มาใช้ และทางโตโยต้า เห็นว่า รถโคโรลล่าประสบความสำเร็จสูงมาก จึงแยกธุรกิจการขายรถโตโยต้า โคโรลล่า ออกเป็น 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจขายรถโคโรลล่า สปรินเตอร์ กับ ธุรกิจขายรถโคโรลล่า , โคโรลล่า เลวิน , โคโรลล่า ทรูโน รูปแบบตัว ถังมีความหลากหลายมากขึ้น ได้แก่ coupe 2 ประตู , station wagon 3 กับ 5 ประตู ,sedan 4 ประตู และ van 5 ประตู และมีการเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ เป็น 1.2 , 1.4 , 1.6 ลิตรให้เลือก และรถโฉมนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก ดังจะเห็นได้จากการที่ถึงแม้โคโรลล่าจะเปิดตัวโฉมที่ 3 ใน ค.ศ. 1974 แต่โฉมที่ 2 นี้ ผลิตอย่างต่อเนื่องไปจนถึง ค.ศ. 1978 จึงเลิกผลิต

    ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง  สมัครสมาชิก หรือ ลงชื่อเข้าระบบ


    Generation ที่ 3 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1974-1981)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 3โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1974 รหัสตัวถัง KE30, KE40 , KE50 และ
    KE60 มีการเพิ่มรูปแบบตัวถัง hardtop coupe 2 ประตูเข้าไป ส่วนตัวถังแบบอื่นมีดังเดิม มีและเริ่มมีการพัฒนาและได้ผลิตระบบเกียร์ให้เลือกเพิ่มเป็น 4 ระบบ คืออัตโนมัติ 2 กับ 3 สปีด และ ธรรมดา 4 กับ
    5 สปีด ขนาดเครื่องยนต์ 1.2 กับ 1.4 ลิตร หลังจากการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 4 ใน ค.ศ. 1979 ทั่วโลกก็เริ่มทยอยหยุดขายหยุดผลิตโฉมที่ 3 และโฉมนี้ได้หยุดผลิตอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1981

    Generation ที่ 4 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1979-1983)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 4โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1979 รหัสตัวถัง KE70 ในโฉมนี้ ได้เพิ่มความหลากหลายของรูปตัวถังขึ้น โดยเพิ่มรูปตัวถัง sedan 2 ประตู และ liftback 3 ประตูเข้าไปเพิ่ม แต่ได้ระงับการผลิตตัวถังแบบ coupe 2 ประตู ระบบ เกียร์ 4 ระบบดังเดิม ขนาดเครื่องยนต์ 3 ขนาด ได้แก่ 1.3, 1.6 และ 1.8 ลิตร และรูปโฉมนี้ เป็นรูปโฉมสุดท้ายที่รถโคโรลล่าขับเคลื่อนล้อหลังเพียงอย่างเดียว ซึ่งโฉมต่อจากนี้ จะค่อยๆ
    ยกเลิกระบบขับเคลื่อนล้อหลังของโคโรลล่าไป และจะแทนที่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และโฉมนี้ก็เป็นโฉมสุดท้ายที่ มีการผลิตระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด และระบบเกียร์ธรรมดา 4 สปีดด้วยเช่นกัน โฉมนี้ เลิกผลิตในปีเดียวกับการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 5 ใน ค.ศ. 1983

    Generation ที่ 5 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1983-1987)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 5โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1983 เป็นโฉมแรกของโคโรลล่า ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า รหัสเครื่องยนต์ AE80 แต่ยกเว้น โคโรลล่า เลวิน และโคโรลล่า ทรูโน ที่ยังเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง
    ใช้รหัสตัวถัง AE86 โฉมนี้ โคโรลล่าได้ปรับรูปแบบตัวถังใหม่ ได้แก่ coupe 2 ประตู , hatchback 3 ประตู , sedan และ station wagon 4 ประตู, liftback 5 ประตู และโฉมนี้ เป็นโฉมแรกที่โคโรลล่ามีการผลิตรถที่ใช้น้ำมันดีเซล(สำหรับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร) และใช้เบนซิน (สำหรับเครื่องยนต์ 1.3 และ 1.6 ลิตร) พร้อมๆ กัน โดยโฉมนี้ มีระบบเกียร์เหลือให้เลือก 2 ระบบ คือ อัตโนมัติ 3 สปีด และธรรมดา 5 สปีด ลักษณะโฉมแบบนี้
    วงการรถไทยมักเรียกว่า “โฉมท้ายตัด” โฉม นี้ ได้รับการออกแบบทั้งสมรรถนะการขับเคลื่อน 3 แบบให้เลือก (ล้อหน้า,ล้อหลัง,4ล้อ) ในช่วงนี้ รถขับเคลื่อนล้อหลังเริ่มมียอดขายลดลง เพราะคนเริ่มไปซื้อรถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ในภาพรวมทั้งหมด เทคโนโลยีต่างๆในรถและรูปทรงที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น ทำให้ในปัจจุบัน โฉมนี้ไม่ถือเป็นสิ่งล้าสมัย ยอดขายรถโคโรลล่าโฉมนี้ รวมยอดผลิตได้มากกว่า 3.3 ล้านคัน ในขณะที่รถโคโรลล่าทั้ง 10 โฉมรวมกันแล้ว ได้ยอดขาย 31 ล้านคัน และจนถึงปัจจุบัน นักเลงรถในญี่ปุ่นก็จะยังรู้จักและขับรถโคโรลล่าโฉมนี้อยู่ โดยไม่ถือว่าล้าสมัย และโฉมนี้ ก็เป็นโฉมสุดท้ายที่จัดเป็นรถขนาด Subcompact ที่อยู่ในตระกูลโคโรลล่า
    โฉม นี้เลิกผลิตในปีเดียวกับการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 6 ใน ค.ศ. 1987

    Generation ที่ 6 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1987-1992)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 6เมื่อความนิยมในการซื้อรถโคโรลล่าโฉมที่ 5 ไปถึงจุดอิ่มตัว ก็ได้มีการเปิดตัวรถโคโรลล่า โฉมที่ 6 ใน ค.ศ. 1987 และส่งเข้าตีตลาดขายแทนโฉมที่ 5 ในปีค.ศ. 1988 โฉมนี้ เป็นโฉมที่รถโคโรลล่า ได้เลื่อนขั้นจากรถขนาดเล็กมาก (Subcompact) เป็นรถขนาดเล็ก (Compact) โฉมนี้ ระบบขับเคลื่อนล้อหลังหายไป ได้มีการเพิ่มการผลิตรูปแบบตัวถัง hatchback 5 ประตู และโฉมนี้ ผลิตในช่วงที่ระบบเกียร์อัตโนมัติถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รถโฉมนี้ ได้เริ่มมีการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มา แต่ก็ยังผลิตรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดอยู่ เครื่องยนต์ก็ยังมีทั้งระบบเบนซิน (ในขนาดเครื่องยนต์ 1.3 ,1.5 , 1.6 ลิตร) และแบบดีเซล (ในขนาดลูกสูบ 2.0 ลิตร) และยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย นอกจากนี้ ในช่วงโฉมนี้ โคโรลล่า เลวิน , โคโรลล่า ทรูโน และโคโรลล่า สปรินเตอร์ ได้เปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และโฉมนี้ พ่อค้าเต๊นท์รถในประเทศไทยนิยมเรียกว่า “โฉมโดเรมอน” โฉมนี้ ในเมืองไทยจะรู้จักกันดีในฐานะของโฉมที่มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 16 วาล์ว รุ่นแรกที่มีขายในไทย ในช่วงนั้น มักมีสัญลักษณ์อักษรเขียนว่า “TWINCAM 16 VALUE” ไว้เป็นสัญลักษณ์ที่ประตูรถในรถบางคัน นอกจากนี้ รุ่นท้ายๆ ของโฉม โคโรลล่าในไทยได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ซึ่งประหยัดน้ำมันกว่า และสามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม โฉมโดเรมอนส่วนใหญ่ยังเป็นคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งไม่เหมาะกับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ โฉมนี้ เลิกผลิตใน ค.ศ. 1992 หนึ่งปีหลังจากการเปิดตัวรถโคโรลล่าโฉมที่ 7

    Generation ที่ 7 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1991-1997)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 7โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1991 โฉมนี้ ได้เริ่มมีการผลิตเกียร์ธรรมดา 6 สปีดขึ้นควบคู่กับการผลิตรถเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 และ 3 สปีด เครื่องยนต์ยังมีระบบดีเซล (2.0 ลิตร) และเบนซิน (1.3 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตร) ทันทีที่เปิดตัวในไทย โคโรลล่าโฉมนี้ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ยอดการจองรถทะลุ 10,000 คันอย่างรวดเร็วกว่าที่โรงงานคิดไว้มาก และยอดจองยังมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้โรงงานทุกโรงงานในไทยจะเร่งผลิตเต็มที่ งัดแผนสำรองมาใช้ ก็ยังไม่ทัน ต้องสั่งนำเข้าจากญี่ปุ่นมา 1,000 คัน และเพิ่มราคาขายคันละ 5,000 บาท รูป แบบตัวถังมี 6 รูปแบบ เหมือนโฉมโดเรมอน ได้แก่ sedan 4 ประตู , hatchback 3 กับ 5 ประตู ,coupe 2 ประตู, liftback 3 ประตู และ station wagon 4 ประตู โฉมนี้ พ่อค้ารถในไทย เรียกว่า “โฉมสามห่วง” เพราะเป็นโฉมแรกของโคโรลล่า ที่ตราสัญลักษณ์วงรีไขว้สามวง(สามห่วง)ถูกนำมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของโตโย ต้า (ก่อนหน้านี้ใช้เขียนเป็นอักษร TOYOTA ไม่ใช่สัญลักษณ์สามห่วง) โฉมนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตระกูลโคโรลล่า เพราะก่อนนี้ โคโรลล่าจะมีลักษณะเป็นรูปทรงเหลี่ยมๆ
    แต่โฉมนี้ จะเริ่มเปลี่ยนจากความเหลี่ยมเป็นความโค้งมน และรถตั้งแต่โฉมสามห่วงเป็นต้นมา ก็มีความโค้งมนมากขึ้นเรื่อยๆ และโคโรลล่าโฉมนี้ เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ในรถเก๋งค่อยๆ หายไป จนในที่สุดก็เลิกผลิตไป
    กลายเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมด โฉมสามห่วง เลิกผลิตในปี ค.ศ. 1997 สองปีหลังการเปิดตัวรถโคโรลล่า โฉมที่ 8

    Generation ที่ 8 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1995-2002)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 8โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 1995 แต่กว่าจะได้โด่งดังแทนที่โฉมสามห่วง ก็ล่วงไปถึง ค.ศ. 1998 ทางโตโยต้า ต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้มีความหลากหลายและสร้างความเป็นที่นิยมให้ปรส บความสำเร็จสูงเหมือนโฉมสามห่วง ดังนั้น ผลการปรับปรุงคือ โฉมที่8 แตกแขนงออกเป็น
    2 โฉมย่อย คือ โฉมตองหนึ่ง ผลิตระหว่าง ค.ศ. 1995 – ค.ศ. 1997 , โฉมไฮทอร์ก เริ่มผลิตเมื่อ ค.ศ. 1998 ซึ่งโฉมไฮทอร์กนี้ ได้สร้างความนิยมโดยมีคนซื้อไปทำแท๊กซี่เป็นจำนวนมาก และนอกจากนี้ ใน ช่วงโฉมไฮทอร์กนี้ โคโรลล่า ยังได้เปิดตัวเนื้อหน่อใหม่ในตระกูลโคโรลล่า ที่เป็นที่นิยมในไทยจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ โคโรลล่า อัลติส (Corolla Altis) โดย Altis จะเป็นรถที่มีความหรูหรา มีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย Options ต่างๆดีกว่า แต่รูปโฉมตัวรถจะคล้ายโคโรลล่าทั่วไป โฉมที่ 8 นี้ระงับการผลิตรูปแบบตัวถังประเภท hatchback 5 ประตู liftback 3 ประตู และ station wagon 4 ประตู แต่ได้เอา liftback และ station wagon 5 ประตูมาผลิตแทน โฉมที่ 8 เลิกผลิตในปี ค.ศ. 2002 สองปีหลังการเปิดตัวของรถโคโรลล่าโฉมที่ 9

    Generation ที่ 9 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 2000-2008)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 9โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 2000 แต่กว่าจะเป็นอันดับหนึ่งแทนโฉมที่ 8 ก็ล่วงไปถึง ค.ศ. 2003 แต่เมื่อได้รับความนิยมแล้ว ก็มีชื่อเสียงมาถึงปัจจุบัน เมื่อทางโตโยต้า ตัดสินใจผลิตโคโรลล่า อัลติสต่อในโฉมที่ 9 และยังมีการปรับปรุงทั้งขนาด ความสะดวก และสิ่งอื่นๆอีกมาก โดยรุ่นที่เป็นที่นิยมในเมืองไทยมากที่สุดก็ยังเป็น อัลติส และโฉมที่ 9 ยกเลิกการผลิตเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด และยกเลิกการผลิตตัวถัง coupe 2 ประตู และ liftback 5 ประตู แล้วเอาแบบ van และ hatchback 5 ประตูมาผลิตแทน และยังคงผลิตรุ่นเครื่องดีเซล ขนาดเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร (ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย) ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ก็เป็น 1.4 , 1.5 , 1.6 , 1.8 ลิตรเหมือนเดิม โฉมนี้ กลุ่มพ่อค้ารถในไทยมักเรียก “โฉมหน้าหมู” หรือ “โฉมตาถั่ว” เพราะไฟหน้ามีลักษณะคล้าย เมล็ดถั่ว โฉมนี้ ในประเทศไทย โคโรลล่าได้มีการออกรุ่นใหม่ คือ LIMO (ลิโม) โดยจะเป็นรถโคโรลล่า ที่มี Options ต่างๆ น้อย แต่รถจะมีราคาถูกกว่าโคโรลล่าทั่วไป และโคโรลล่า อัลติส อย่างมาก อย่างไรก็ตาม LIMO จะไม่มีขายเป็นรถนั่งส่วนบุคคล โตโยต้าประเทศไทย ขาย LIMO โฉมนี้ เพื่อทำเป็นแท็กซี่เท่านั้น โฉม ที่ 9 เลิกผลิตในปี ค.ศ. 2008 สองปีหลังการเปิดตัวของรถโคโรลล่าโฉมที่ 10

    Generation ที่ 10 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 2008-2013)
    โตโยต้า โคโรลล่า โฉมที่ 10โฉมนี้ เปิดตัวครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 แต่ใช้เวลาค่อนข้างนานในการพิชิตตลาดต่างๆเพื่อไปแทนโฉมที่ 9 โดยเฉพาะในไทย โฉมที่ 10 เพิ่งเข้ามาในไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ระบบเกียร์ในครั้งนี้ จะผลิตระบบเกียร์แบบธรรมดา 5 หรือ 6 สปีด สำหรับเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ CVT 4 หรือ 5 สปีด โฉม นี้ เครื่องยนต์ดีเซลเลิกผลิตไปเหลือแต่เครื่องเบนซินขนาด 1.5 , 1.8 , 2.4 ลิตร และได้ยกเลิกรูปแบบตัวถังออกไปมาก เหลือแต่แบบ sedan และ station wagon 4 ประตู และเฉพาะในออสเตรเลีย มีการผลิต hatchback 5 ประตู ส่วน LIMO ในโฉมนี้ มีการผลิตรถรุ่น LIMO CNG ซึ่งเป็นรถลิโม ที่ติดระบบการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ มาตั้งแต่ในโรงงานโตโยต้า และ LIMO โฉมนี้
    ได้เปิดขายให้กับประชาชนทั่วไปอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ก่อนที่จะกลับไปขายทำแท็กซี่โดยเฉพาะเหมือนเดิม โดยโตโยต้าได้ทำรถรุ่น Advanced CNG มาขายให้ประชาชนทั่วไปแทน LIMO CNG โคโรลล่า เป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่ทำให้โตโยต้าผงาดขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 40 ล้านคันทั่วโลกนับตั้งแต่รุ่นแรก และครองยอดจำหน่ายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องในเมือง ไทยอาจคุ้นเฉพาะชื่อของโคโรลล่าเท่านั้น แต่ในประเทศญี่ปุ่น สายพันธุ์ของโคโรลล่ายังแตกแขนงออกเป็นรุ่นต่างๆ โดยใช้พื้นฐานและชิ้นส่วนตัวถังร่วมกันในบางจุด เช่น เลวินและทรูโน (คูเป้) และสปรินเตอร์ (คูเป้ / ซีดาน /สเตชันแวกอน)

    Generation ที่ 11 (ผลิตระหว่าง ค.ศ. 2014-ปัจจุบัน)
        โคโรลล่า อัลติส 2014 ใหม่" ใช้สโกแกนสั้นๆว่า "So Excited" ได้รับการออกแบบใหม่หมดจดตลอดคัน ให้มีรูปลักษณ์ดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว สวยสะดุดตา ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักพลศาสตร์ ด้วยตัวถังที่กว้างขึ้นแต่เตี้ยลง เพื่อเพิ่มรูปลักษณ์สปอร์ต ไฟหน้าถูกออกแบบด้วยรูปทรงเรียวยาว มาพร้อมกระจังหน้าออกแบบให้สอดรับกับไฟหน้า ทันสมัยด้วยโคมไฟแบบโปรเจคเตอร์พร้อม Daytime Running Light แบบ LED เช่นเดียวกันกับไฟท้าย ที่ออกแบบให้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ด้านมิติตัวถัง ตัวรถมีความยาวตลอดแนวเพิ่มขึ้นเป็น 2,700 มม. ทำให้มีความยาวพื้นที่โดยสารเพิ่มขึ้นถึง 80 มม. ระยะห่างระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าและหลังเพิ่มขึ้นกว่า 75 มม. ช่วยให้พื้นที่โดยสารด้านหลังกว้างขวาง นั่งสบาย พร้อมสีภายในกว่า 3 สี ได้แก่ สีเทา, สีเบจ และสีดำ นอกจากนั้นยังเอาใจผู้ขับขี่ด้วยการเลือกใช้วัสดุแบบนิ่มบนแผงคอนโซล มาตรวัดสไตล์สปอร์ต พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่ถูกออกแบบใหม่หมด "Corolla Altis 2014" ใหม่ มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือก ได้แก่ 1.8 และ 1.6 ลิตร โดยเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 177 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด ส่วนเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 154 นิวตันเมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i และเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด นอกจากนั้นยังมีรุ่นเชื้อเพลิงทางเลือก CNG มาให้เป็นทางเลือกอีกด้วย ทุกรุ่นมาพร้อมพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ที่ปรับน้ำหนักอัตโนมัติตามความเร็วรถ
    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ตุลาคม 2562, 07:19:52 โดย Auto Man »
    สวัสดีคุณ...ผู้เยี่ยมชม  กด ❤ ถูกใจโพสท์นี้ หรือยัง...
    ต้องการสมัครสมาชิก VIP สมัครได้ที่นี่...   หรือทาง Line ID: k.sonchai

    ออฟไลน์ Auto Man

    • Administrator
    • หัวหน้าศูนย์ซ่อมสร้าง
    • *****
    • เจ้าของกระทู้
    • Joined: ก.ย. 2558
    • กระทู้: 37146
    • สมาชิกลำดับที่ : 1
    • เพศ: ชาย
    • มือผู้ให้ย่อมสูงกว่ามือผู้รับ
      • เว็บชุมชนคนรักช่างยนต์
      • อีเมล์
    ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
    « ตอบกลับ #1 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:12:36 »
  • ขึ้นบน
  • ลงล่าง
  • โคโรลล่า เป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่ทำให้โตโยต้าผงาดขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 40 ล้านคันทั่วโลกนับตั้งแต่รุ่นแรก และครองยอดจำหน่ายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
    ในเมืองไทยอาจคุ้นเฉพาะชื่อของโคโรลล่าเท่านั้น แต่ในประเทศญี่ปุ่น สายพันธุ์ของโคโรลล่า ยังแตกแขนงออกเป็นรุ่นต่างๆ โดยใช้พื้นฐานและชิ้นส่วนตัวถังร่วมกันในบางจุด เช่น เลวินและทรูโน (คูเป้) และสปรินเตอร์ (คูเป้ / ซีดาน / สเตชันแวกอน)

    รุ่นแรก KE10
    ย้อน กลับไปในเดือนเมษายน 1966 จากความสำเร็จของนิสสัน ซันนี่ 1,000 ซีซี ในตลาดญี่ปุ่น เย้ายวนให้โตโยต้าสนใจตลาดรถยนต์ครอบครัวราคาถูก และอีก 7 เดือนต่อมาก็เปิดตัวโคโรลล่า รุ่นแรก รหัสตัวถัง KE10 ในแบบ 2 ประตู ส่วนรุ่น 4 ประตูตามมาในเดือนพฤษภาคม 1967 และสเตชันแวกอนในปี 1968
    KE10 ใช้เครื่องยนต์รหัส K 4 สูบ OHV 1,070 ซีซี 60 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที และรุ่น 73 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ
    โคโรลล่าได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนต้องเปิดตัวรุ่นคูเป้ รหัสตัวถัง KE15 โดยใช้ชื่อโคโรลล่า สปรินเตอร์

    รุ่นที่ 2 KE20
    เปิด ตัวพฤษภาคม 1970 นับเป็นครั้งแรกที่รุ่นสปรินเตอร์เพิ่มตัวถังซีดานในการทำตลาด นอกจากนั้น ยังเปิดตัวรุ่นคูเป้ จีที ในชื่อ เลวินและทรูโน ในปี 1972 ซึ่งเลวิน-LEVIN มาการรวมคำของCOROLLA+TWINCAM ENGINE
    เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นรหัส 3K 4 สูบ OHV 1,166 ซีซี 73 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.24 กก.-ม. ที่ 3,800 รอบ/นาที จนถึงรุ่นแรงสุด 2T-GR 4 สูบ ทวินแคม 1,588 ซีซี 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ซึ่งพัฒนามาจากรหัส 2T-G 110 แรงม้า (PS) และเปลี่ยนมาใช้เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเป็นครั้งแรก
    เมื่อสายพันธุ์ โคโรลล่า ในประเทศญี่ปุ่นมีการแตกแขนงออกมาหลายรุ่น ทำให้โตโยต้าต้องจัดระบบการจำหน่ายใหม่ ด้วยการตั้งเครือข่ายจำหน่ายใหม่ 2 แห่ง คือ ออโต้ ทำตลาดรุ่นสปรินเตอร์ และ โคโรลล่า (ในญี่ปุ่นเรียกว่าคาโรล่า) สำหรับรุ่นโคโรลล่า และเลวิน
    นอกจาก นั้น ในเดือนพฤศจิกายน 1974 ไดฮัทสุ บริษัทในเครือโตโยต้า นำโคโรลล่าไปแปลงโฉมและทำตลาดในชื่อ ชาร์มังต์ (หรือรุ่น 1200 และ 1400 ในยุโรป) นับเป็นรถยนต์นั่งรุ่นใหญ่สุดของไดฮัทสุ

    รุ่นที่ 3 KE30
    เปิด ตัวในเดือนเมษายน 1974 ทำตลาดด้วยตัวถัง 2 และ 4 ประตู, คูเป้, ลิฟต์แบ็ก 2 ประตู (ใช้รหัส TE37) และสเตชันแวกอน 3 และ 5 ประตู ที่ตัวถังด้านท้ายมีทั้งแบบกระจกโปร่งและแบบตัวถังทึบไม่มีกระจก ส่วนรุ่นเลวินและทรูโนใช้รหัส TE47
    การปรับโฉมมีขึ้นในเดือนมกราคม 1977 เปลี่ยนรหัสของโคโรลล่า คูเป้มาเป็น TE51 และ TE55 ในรุ่นลิฟต์แบ็ก ใช้ขุมพลังรหัส 2T-GEU 4 สูบ ทวินแคม 1,588 ซีซี EFI พร้อมระบบ TTC-C 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที

    รุ่นที่ 4 KE70
    เป็นโคโรลล่าขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นสุด ท้าย เปิดตัวในเดือนมีนาคม 1979 ทั้งแบบ 2 และ 4 ประตู ลิฟท์แบ็ก สเตชันแวกอน 3 และ 5 ประตู ส่วนรุ่นเลวินและทรูโน มี 2 ตัวถัง คือ คูเป้ และฮาร์ดท็อปคูเป้
    การปรับโฉมของโคโรลล่า จากไฟหน้าทรงกลมแบบ 4 ดวงและแบบสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มาเป็น ไฟหน้าสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีขึ้นในเดือนสิงหาคม 1981
    เครื่องยนต์ของโคโรลล่าตัวถังนี้มี 4 รุ่น คือ 4K-U 4 สูบ OHV 1,290 ซีซี 72 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.5 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที รหัส 3A-U 4 สูบ OHC 1,452 ซีซี 80 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.8 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที รหัส 13T-U 4 สูบ OHV 1,770 ซีซี 95 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที
    ปิดท้ายด้วยรหัส 2T-GEU 4 สูบ ทวินแคม 8 วาล์ว EFI 1,600 ซีซี 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 4 และ 5 จังหวะ รวมทั้งแบบอัตโนมัติ 2 และ 3 จังหวะ

    รุ่นที่ 5 AE80
    เผยโฉมในญี่ปุ่นเมื่อพฤษภาคม 1983 ก่อนส่งเข้าเมืองไทยในปีต่อมา นับเป็นรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดอีกรุ่น เช่น ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นครั้งแรก เครื่องยนต์เปลี่ยนมาเป็นตระกูล A
    นอก จากนั้น ยังเพิ่มตัวถังใหม่ๆ เข้ามา เช่น ลิฟต์แบ็ก 5 ประตู และแฮทช์แบ็ก 3 และ 5 ประตู (ใช้ชื่อจำหน่าย FX) เปิดตัวในเดือนตุลาคม 1984 และเป็นครั้งแรกโตโยต้าเพิ่มตัวถังสเตชันแวกอนให้กับรุ่นสปรินเตอร์โดยใช้ ชื่อ คาริบ
    แม้ว่าโคโรลล่ารุ่นที่ 5 เปลี่ยนมาเป็นแบบขับหน้า แต่รุ่นเลวินและทรูโนรหัสตัวถัง AE86 ยังเป็นแบบขับหลัง ใช้ตัวถังต่างจากรุ่นอื่นๆ และวางขุมพลังพันธุ์แรงบล็อกใหม่รหัส 4A-GEU ทวินแคม 16 วาล์ว 1,587 ซีซี EFI T-VIS 130 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.2 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ที่ผลิตโดยยามาฮ่า
    ด้วย สมรรถนะแรง ขนาดกะทัดรัด และรูปทรงไม่ล้าสมัย ทำให้ AE86 ยังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นนักเลงรถชาวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ความแตกต่างทางด้านรูปลักษณ์ระหว่างเลวินและทรูโนในรุ่นนี้ คือ ชุดไฟหน้า โดยทรูโนจะใช้แบบ POP-UP
    สำหรับสปรินเตอร์ ซีดาน แม้ยังใช้ชิ้นส่วนหลักร่วมกับโคโรลล่า ซีดาน แต่ด้านท้ายได้รับการออกแบบใหม่หมด และส่งไปทำตลาดสหรัฐอเมริกาในชื่อ เชฟโรเล็ต โนวา

    รุ่นที่ 6 AE90
    เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 1987 ด้วยซีดาน 4 ประตู แต่รุ่น FX เหลือแค่แฮทช์แบ็ก 3 ประตูเท่านั้นที่ทำตลาดญี่ปุ่น ส่วนรุ่น 5 ประตูส่งไปทำตลาดในยุโรปและโอเซียเนีย
    สปรินเตอร์ นอกจากตัวถังซีดานซึ่งในรุ่นนี้ออกแบบจนแตกต่างจากโคโรลล่าแล้ว ยังเพิ่มรุ่นลิฟต์แบ็ก 5 ประตูในชื่อ สปรินเตอร์ เซียโล-CIELO และใช้ชื่อโคโรลล่า ลิฟต์แบ็ก คอนเควสต์ ในตลาดยุโรปและโอเซียเนีย
    เล วินและทรูโน (รหัสตัวถัง AE92) เผยโฉมพร้อมกันและเปลี่ยนมาเป็นสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหน้า โดยไฟหน้า POP-UP ยังสร้างความแตกต่างให้กับคูเป้ทั้ง 2 รุ่นนี้เหมือนเดิม
    ขุมพลัง ของโคโรลล่ารุ่นนี้มีตั้งแต่รหัส 2E 4 สูบ OHC 12 วาล์ว 1,295 ซีซี 72 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.3 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที ตามด้วยแบบทวินแคม 16 วาล์ว เริ่มจากรหัส 5A-F 1,500 ซีซี คาร์บิวเรเตอร์ 85 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.5 กก.-ม.ที่ 3,300 รอบ/นาที และ 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.1 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาทีสำหรับรุ่นหัวฉีด EFI (5A-FE) รหัส 4A-G 1,587 ซีซี 120 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที แต่เมื่อเพิ่มซูเปอร์ชาร์จในรุ่น 4A-GZE กำลังสูงสุดจะเพิ่มเป็น 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที
    นอกจากนั้น ยังส่งสปรินเตอร์ ซีดานไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในชื่อ จีโอ พริซึม ยี่ห้อใหม่ของเจนเนอรัล มอเตอร์สที่แยกตัวออกจากเชฟโรเล็ต
    ในเมืองไทย เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1987 เด่นด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 16 วาล์ว เป็นรายแรกในเมืองไทย ใช้เครื่องยนต์ 2E และ 4A-F 16 วาล์ว 1,587 ซีซี 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
    รวมทั้งรุ่น SPORTY ที่เปลี่ยนคาร์บิวเรเตอร์ของเครื่องยนต์ 4A-F มาเป็นเวบเบอร์ ท่อคู่ดูดข้าง 106 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.9 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที
    การปรับโฉมมีขึ้นในเดือนมีนาคม 1990 และเพิ่มรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และ GTi ขุมพลัง 4A-GE 130.5 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม.ที่ 6,000 รอบ/น

    รุ่นที่ 7 AE100
    เปิดตัวในเดือนมิถุนายน 1991 ด้วยตัวถังซีดาน พร้อมกับเปิดตัวพี่น้องร่วมสายพันธุ์โคโรลล่า เช่น รุ่นสปรินเตอร์ ที่มีความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์อย่างชัดเจน และปิดท้ายด้วยรุ่นแฮทช์แบ็ก 3ประตู FX ฮาร์ดท็อป 4 ประตูในชื่อโคโรลล่า เซเรส, สปรินเตอร์ มาริโน และโคโรลล่า ทัวริ่งแวกอน ในปี 1992
    นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่ขุมพลัง 5 วาล์ว/สูบ รหัส 4A-GE 4 สูบ ทวินแคม 20 วาล์ว 1,600 ซีซี 160 แรงม้า (PS) ที่ 7,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.5 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที ออกสู่ตลาดกลางปี 1998 ด้วยสาเหตุที่ความนิยลดต่ำลง ทำให้โคโรลล่า เซเรส, สปรินเตอร์ มาริโน และ FX ถูกปลดออกจากสายการผลิต และยุติการทำตลาดในไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน และเหลือรุ่น FX ไว้ทำตลาดต่างประเทศเท่านั้น
    เลวินและทรูโน รหัสตัวถัง AE101 ออกสู่ตลาดในเดือนมิถุนายน 1991 และรุ่นสูงสุดใช้ ขุมพลัง 4A-GE ทวินแคม 16 วาล์ว พ่วงกับซุปเปอร์ชาร์จ 170 แรงม้า (PS)
    ในเมืองไทย โคโรลล่ารุ่นนี้ สร้างปรากฎการณ์ทันทีที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 1992 ด้วยยอดจองผ่านหลัก 10,000 คันอย่างรวดเร็ว จนโรงงานผลิตไม่ทันกับความต้องการ ทำให้โตโยต้าต้องนำเข้ารุ่น LX-LIMITED จากญี่ปุ่นจำนวน 1,000 คันมาแก้ปัญหานี้ โดยต้องเพิ่มราคาอีก 5,000 บาท การปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์มีขึ้นกลางปี 1994 และเพิ่มรุ่น 1,300 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ พร้อมรุ่นตกแต่งพิเศษสีเขียวในชื่อ LIME เพียง 300 คันเท่านั้น

    รุ่นที่ 8 AE110
    เผยโฉมในเดือนพฤษภาคม 1995 แต่ก็ได้รับเสียงวิจารณ์จากลูกค้าและสื่อมวลชนในประเทศอย่างมากถึงการลดต้น ทุนด้วยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรุ่นเดิมมากถึง 40%
    โคโรลล่ารุ่นที่ 8 ยังมีทางเลือกตัวถังที่มากมาย ทั้งแบบซีดาน คูเป้ และลิฟต์แบ็ก 3 และ 5 ประตู รวมถึงรุ่นเลวินและทรูโน (AE111) และเป็นครั้งแรกที่โคโรลล่ามีตัวถัง มินิ MPV ออกมาให้เลือกในชื่อ โคโรลล่า สปาซิโอ
    โคโรลล่า รุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ขุมพลังรหัส A โดยรุ่นที่ทำตลาด คือ รหัส 4E-FE 1,331 ซีซี 85 แรงม้า (PS), 5A-FE 1,498 ซีซี 100 แรงม้า (PS), 4A-FE 1,587 ซีซี 115 แรงม้า (PS) แรงสุดด้วยรหัส 4A-GE 4 สูบ ทวินแคม 20 วาล์ว 1,587 ซีซี 165 แรงม้า (PS) รวมทั้งดีเซล 3C-E 4 สูบ 2,184 ซีซี 79 แรงม้า (PS)
    แม้ขุมพลังของโคโรลล่าในตลาดทั่วโลกยังเป็นรหัส A แต่เวอร์ชันสหรัฐอเมริกา วางเครื่องยนต์ 1ZZ-FE พร้อมระบบวาลว์แปรผัน VVT-i มาตั้งแต่ปี 1998 ก่อนที่ตลาดยุโรปจะได้สัมผัส เครื่องยนต์ ZZ ในรุ่นปรับโฉมของโคโรลล่าเมื่อต้นปีนี้

    สำหรับเมืองไทย AE112 ซีดาน เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 1996 และมีการปรับโฉมทุกปี เช่น โคโรลล่า ซาลูน ในปี 1997 ตามด้วยรุ่นพิเศษฉลองยอดผลิตรถยนต์ในเมืองไทยครบ 1 ล้านคันด้วยตัวถังสีดำเพียง 300 คัน รุ่นลิมิเต็ด ใช้สีเขียวเป็นสีตัวถัง รุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ โคโรลล่า ไฮทอร์คเพิ่ม ขุมพลังรหัส 7A-FE 1,800 ซีซี ในปี 1998 โคโรลล่า อัลทิส 1,800 ซีซี ในปี 1999 ปิดท้ายกับ อัลทิส ไฟท้ายยุโรปพร้อมรุ่น 1,600 ซีซีเมื่อต้นปี 2000

    Toyota New Corolla Altis
    โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส โฉมใหม่-โมเดลเชนจ์ เปิดตัวพร้อมมิติภายนอกและภายในที่ขยายใหญ่ขึ้น เทียบชั้นรถยนต์ขนาดกลาง อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังใหม่บล็อก ZZ 1.6 และ 1.8
    ภายนอกเด่นด้วยไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์และกระจังโครเมียมแบบ ซี่ตั้ง (1.6J เป็นซี่นอน) รุ่น 1.8 ติดตั้งสปอตไลต์ทรงเฉี่ยวในกันชน ด้านข้างหรูด้วยชุดที่เปิดประตูชุบโครเมียม (1.6J สีเดียวกับตัวถัง) และคิ้วโครเมียมล้อมรอบกระจกหน้าและหน้าต่าง (1.6J สีดำ) รุ่น 1.6J ให้ล้อแม็กลาย 4 ก้าน ขนาด 6 x 14 นิ้ว ยางขนาด 185/70 R14 รุ่น 1.6E และ 1.8 ให้ล้อแม็กลาย 6 ก้าน ขนาด 6 x 15 นิ้ว ยางขนาด 195/60 R15

    SPECIFICATION
    ซีดาน 4 ประตู
    เครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว VVT-i
    1,794 ซีซี
    กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 X 91.5 มม.
    อัตราส่วนการอัด 10.0 : 1
    136 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
    แรงบิดสูงสุด 17.4 กก.-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที
    ระบบส่งกำลัง ธรรมดา 5 จังหวะ / อัตโนมัติ 4 จังหวะ
    ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า
    ระบบกันสะเทือนหน้า สตรัตพร้อมคอยล์สปริง
    หลัง ทอร์ชั่นบีม
    ไฟท้ายแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์แบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านนอกติดกับตัวถังเป็นไฟเลี้ยวและไฟเบรก ด้านในติดตั้งในฝากระโปรง ฝั่งซ้ายเป็นไฟถอยหลัง ฝั่งขวาเป็นไฟตัดหมอก ปลายท่อไอเสียงุ้มซ่อนหลังกันชน

    ภายในรุ่น 1.6J สะดวกสบายด้วยพวงมาลัยยูรีเธน 4 ก้านมีถุงลมนิรภัยพร้อมเพาเวอร์, กระจกไฟฟ้า, กระจกมองข้างปรับด้วยมือจากภายใน, เซ็นทรัลล็อก, ที่ปัดน้ำฝนทำงานเป็นจังหวะร่วมกับที่ฉีดน้ำ, กล่องเก็บของระหว่างเบาะหน้า, ที่วางแก้วน้ำด้านหน้า, เบาะนั่งกำมะหยี่, เสียงเตือนเมื่อลืมกุญแจและลืมปิดไฟหน้า, แอร์แบบปุ่มกดควบคุมด้วยไฟฟ้า และวิทยุเทปแบบ 1 DIN พร้อมลำโพง 4 ตัว และเสาอากาศที่เสาหน้า

    ปลอดภัย ด้วยกระจกหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 4 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง ด้านหน้าปรับระดับได้, ถุงลมนิรภัยฝั่งผู้ขับ, กระจกข้างแบบป้องกันการหนีบ JAM PROTECTION, โครงสร้างภายในแบบครีบ HEAD IMPACT PROTECTION STRUCTURE กระจายแรงกระแทกจากการชน, เบาะนั่งระบบ WIL-WHIPLASH INJURY LESSENING ป้องกันการบาดเจ็บที่กระดูกต้นคอจากการชนด้านหลัง, แป้นเหยียบออกแบบให้ยุบตัวได้ ลดการบาดเจ็บบริเวณเท้า และไฟเบรกดวงที่ 3

    1.6E พวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนัง, กล่องเก็บของระหว่างเบาะหน้าแบบ 2 ชั้น, เพิ่มไฟส่องแผนที่นั่งด้านหน้า, ที่ปัดน้ำฝนแบบตั้งเวลาได้, กระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า, เสาอากาศฝังในกระจกหลัง

    1.8E แอร์เป็นแบบอัตโนมัติดิจิตอล, มาตรวัดแบบ OPTITRON สีขาว ปรับความสว่างได้, วิทยุเทป ซีดี 6 แผ่นแบบ 2 DIN พร้อมลำโพง 6 ตัว, ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ที่วางแก้วน้ำด้านหลัง, เบาะหลังพับได้แบบ 60 : 40, ม่านบังแดดหลัง, กระจกหน้าเพิ่ม TOP SHADE เพิ่มความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยคู่ สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า

    รุ่น 1.8G เพิ่มไฟมาตรวัด OPTITRON 3 สี คือ ขาว เหลือง และฟ้า, เปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบหนังสลับลายไม้, เบาะหนัง, เพิ่มระบบ TVSS-TOYOTA VEHICLE SECURITY CONTROL พร้อมรีโมตคอนโทรล และระบบอิมโมบิไลเซอร์ ตรวจสอบ ID CODE ของกุญแจเครื่องยนต์ใหม่ 2 ระดับความแรง รุ่น 1.6 เป็นบล็อก 3ZZ-FE แบบเบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว VVT-i ความจุ 1,598 ซีซี กำลังสูงสุด 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.28 กก.-ม. ที่ 3,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ 4 ECT รุ่น 1.8 เป็นบล็อก 1ZZ-FE มีความจุ 1,794 ซีซี กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.42 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ SUPER ECT

    ระบบบังคับ เลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัตพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ ETA BEAM พร้อมเหล็กกันโคลง รุ่น 1.8 มีระบบ VSC-VEHICLE STABILITY CONTROL ช่วยการยึดเกาะขณะเข้าโค้ง และ TRC-TRACTION CONTROL ป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ (1.6J ดรัมเบรกหลัง) ทุกรุ่นมีเอบีเอสป้องกันล้อล็อก อีบีดีกระจายแรงเบรก และเบรกแอสซิสเพิ่มแรงเบรก ช่วยลดระยะเบรก 10-15 เปอร์เซ็นต์


    เพิ่มเติมครับ (ทาโร่)

    - รุ่นที่เราใช้กันคือนิวอัลติสรุ่นปี 2008 ถือเป็น Generation ที่ 10 ครับ (2008-2013)

    - สำหรับรุ่นล่าสุดนั้นเป็นนิวอัลติสปี 2014 ถือเป็น Generation ที่ 11 ครับ (2014-ปัจจุบัน)

       ที่มา... มาจากที่นี่
    สวัสดีคุณ...ผู้เยี่ยมชม  กด ❤ ถูกใจโพสท์นี้ หรือยัง...
    ต้องการสมัครสมาชิก VIP สมัครได้ที่นี่...   หรือทาง Line ID: k.sonchai

    ออฟไลน์ Auto Man

    • Administrator
    • หัวหน้าศูนย์ซ่อมสร้าง
    • *****
    • เจ้าของกระทู้
    • Joined: ก.ย. 2558
    • กระทู้: 37146
    • สมาชิกลำดับที่ : 1
    • เพศ: ชาย
    • มือผู้ให้ย่อมสูงกว่ามือผู้รับ
      • เว็บชุมชนคนรักช่างยนต์
      • อีเมล์
    ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
    « ตอบกลับ #2 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:14:01 »
  • ขึ้นบน
  • ลงล่าง
  • อยากเห็นหน้าตาเลยไปหาข้อมูลมาดูเอง

    เอามาแปะเผื่อแล้วกันคับ

    ผิดถูกชี้แนะได้

    รุ่นแรก KE10
    ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง  สมัครสมาชิก หรือ ลงชื่อเข้าระบบ



    รุ่นที่ 2 KE20


    รุ่นที่ 3 KE30


    รุ่นที่ 4 KE70


    รุ่นที่ 5 AE80


    รุ่นที่ 6 AE90
    ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง  สมัครสมาชิก หรือ ลงชื่อเข้าระบบ



    รุ่นที่ 7 AE100


    รุ่นที่ 8 AE110


    รุ่นที่ 9


    รุ่นที่ 10

    ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง  สมัครสมาชิก หรือ ลงชื่อเข้าระบบ
    สวัสดีคุณ...ผู้เยี่ยมชม  กด ❤ ถูกใจโพสท์นี้ หรือยัง...
    ต้องการสมัครสมาชิก VIP สมัครได้ที่นี่...   หรือทาง Line ID: k.sonchai

    ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
    « ตอบกลับ #2 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:14:01 »


    ออฟไลน์ Auto Man

    • Administrator
    • หัวหน้าศูนย์ซ่อมสร้าง
    • *****
    • เจ้าของกระทู้
    • Joined: ก.ย. 2558
    • กระทู้: 37146
    • สมาชิกลำดับที่ : 1
    • เพศ: ชาย
    • มือผู้ให้ย่อมสูงกว่ามือผู้รับ
      • เว็บชุมชนคนรักช่างยนต์
      • อีเมล์
    ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
    « ตอบกลับ #3 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:18:42 »
  • ขึ้นบน
  • ลงล่าง
  •    ไปเจอข้อมูลนี้ ก็น่าสนใจลองเข้าไปดูกันก่อน ยังไม่มีเวลานำมาถ่ายทอดให้กับสมาชิกเว็บ http://www.fab.co.th/corolla.html
    สวัสดีคุณ...ผู้เยี่ยมชม  กด ❤ ถูกใจโพสท์นี้ หรือยัง...
    ต้องการสมัครสมาชิก VIP สมัครได้ที่นี่...   หรือทาง Line ID: k.sonchai

    ((( ประวัติและความเป็นมาของ Toyota Corolla )))
    « ตอบกลับ #3 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2560, 07:18:42 »