หลังจากประกอบสายพานไทมิ่งเสร็จสรรพ ก็ทดลองหมุนไปสักสามสี่รอบ
ตรวจสอบว่ามีการชนกันของวาล์วหรือไม่
ตอนนั้นให้ตั้งระยะห่างลิ้น
- ลิ้นไอดี 0.20 มม.
- ลิ้นไอเสีย 0.25 มม.
ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากมาก ต้องสตาร์ทลากยาว
3-4 ครั้งถึงจะติด
ชักใจไม่ดีล่ะ....
เลยให้วัดกำลังอัดของแต่ละสูบ ว่ากำลังอัดอยู่ที่เท่าไหร่
ผลการวัดออกมา ดังนี้.-
สูบที่ 1 : 60 PSI
สูบที่ 2 : 80 PSI
สูบที่ 3 : 70 PSI
สูบที่ 4 : 60 PSI
เมื่อเห็นการวัดออกมาแบบนี้ ใจชักถอดเหมือนกันว่าเครื่องมันจะติด
ใช้งานได้ไหมเนี่ย เลยให้วัดกำลังอัดแบบเปียก (เติมน้ำมันเครื่องเข้าไป
ในกระกอบสูบ 1-2 ฝา แล้วทำการสตาร์ทเครื่องให้น้ำมันเครื่องที่ใส่เข้าไป
เคลือบลูกสูบ/แหวน/กระบอกสูบ) จากนั้นทำการวัดกำลังอัดเรียกว่าการวัด
กำลังอัดแบบเปียก
ผลการวัดออกมา ดังนี้.-
สูบที่ 1 : 170 PSI
สูบที่ 2 : 140 PSI
สูบที่ 3 : 150 PSI
สูบที่ 4 : 140 PSI
จากการที่เครื่องยนต์ติดได้ในครั้งแรก เรียกว่าควันโขมงโฉงเฉงกันเลยทีเดียว
พอผ่อนคันเร่งหน่อยเครื่องก็ดับ สตาร์ทอีก... ไม่ติดแล้ว
ถอดหัวเทียนออกมาดู มีทั้งคราบดำ และคราบแฉะ ผสมปนเปกัน
บางสูบก็ดำปรื๊ดอย่างเดียว บางสูบก็ทั้งดำทั้งแฉะ
ทำความสะอาดหัวเทียนแล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่ และทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์
ผลออกมา...
เครื่องยนต์ไม่แสดงอาการว่าจะสามารถติดเครื่องได้เลย
ก็ต้องย้อนไปทำการวัดกำลังอัดกันอีก
ผลการวัดออกมาเป็นแบบนี้
สูบที่ 1 : 100 PSI
สูบที่ 2 : 80 PSI
สูบที่ 3 : 100 PSI
สูบที่ 4 : 105 PSI
แสดงว่าเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน มีการเผาผลาญน้ำมันเครื่องในส่วน
ที่เป็นสารเคลือบกำลังอัด (เรียกอย่างนี้เลย 5 5 5) ทำให้กำลังอัดลดลงไป
แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เมื่อเจ้าของรถเค้ายังไม่อยากยกเครื่องทำลูก/แหวน
ก็ต้องหยอดน้ำมันเครื่องเข้าไปในกระบอกสูบอีกหล่ะ.... และก็ทำวนไป
เหมือนเดิมอีก คือเมื่อทำให้มีกำลังอัดเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ไปติดเครื่อง ทำวนไปวนมา
แบบนี้
ชักจะเหนื่อยเหมือนกันแฮะ....
สุดท้าย ท้ายสุด เมื่อนอนคิดได้แล้ว่า เห็นทีจะต้องงัดสูตรท่าไม้ตายมาใช้
คือลองเช็คตำแหน่งไฟจุดระเบิดว่า จุดในตำแหน่งใด
แนวคิด ณ ตอนนั้น..
ถ้าถามความคิดในตอนนั้น ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง ในเมื่อกำลังอัด
มันน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะให้เครื่องทำงานได้
แต่ก็มีช่างน้องๆ มาแชร์ความคิดกันว่าที่เขาเคยเจอ กำลังอัดชัก 60-80 PSI
ก็เพียงพอที่จะติดเครื่องได้ -ไอ้เราก็คิดว่ามันจะจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่ได้เรียนมา
และประสบด้วยตัวเองต้องมีอย่างน้อยที่สุดต้อง 90 ปอนด์/ตารางนิ้ว
ย้อนไปเมื่อตอนต้นเทอมนี้ ได้สอนลูกศิษย์ปัจจุบันในวิชางานปรับแต่งเครื่องยนต์
ให้รู้จักเครื่องมือตัวหนึ่งที่ช่างสมัยใหม่นี้อาจไม่รู้จัก เพราะใช้แต่เครื่องวิเคราะห์รุ่นใหม่ๆ
ที่จะบอกตำแหน่งต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งการจุดระเบิดก็บอกได้
แต่ว่าในเครื่องยนต์สมัยเก่า ยังไม่มีเครื่องสแกน เราใช้ไทมิ่งไลท์กัน
วิธีการใช้งาน ก็ขอเอาเป็นว่าเล่าสู่กันฟังให้น้องๆ ช่างยนต์รุ่นใหม่ได้เป็น
ความรู้ประดับกายไว้
มาเริ่มกันเลย...
- เริ่มจากป้ายทำมาร์คที่มู่เล่ย์หน้าเครื่อง ด้วยลิควิดเปเปอร์ หรืออะไรก็ได้ที่
เวลาเราส่องไทมิ่งไลท์เข้าไปแล้ว สามารถสะท้อนหรือมองเห็นมาร์คได้อย่างชัดเจน
โดยมาร์คที่ทำจะมีมาร์คคงที่ที่เสื้อแคร้งก์ กับมาร์คศูนย์ตายบน
- และเราต้องเข้าใจก่อนว่า เครื่องยนต์จะมีการจุดระเบิดก่อนศูนย์ตายบน ประมาณ 10-15 องศา
ดังนั้นเมื่อเราส่องไฟไปที่บริเวณพูลเล่ย์หรือมูเล่ย์หน้าเครื่อง เราจะมองเห็นพบว่า
เวลาที่เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา จะพบมาร์คอยู่ก่อนศูนย์ตายบนประมาณ 10-15 องศา
ว่าจะพูดไม่มากไม่นาย กลายเป็นว่าไม่จบอีกล่ะ ขอเอาไว้ต่อในโอกาสหน้า
ขอตัวไปทำภาระกิจก่อน
อย่าลืมมาร่วมคอมเม้นท์ และร่วมตั้งกระทู้ที่ตนเองคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น
แอดมินก็จะขอบคุณมากๆ *อยากเห็นมานานล่ะ แต่ยังไม่เคยเห็น