มาร่วมเป็นกำลังใจให้เว็บด้วยการสมัครสมาชิกวีไอพี ~~ เลือกปีที่ท่านต้องการได้โดยไม่ต้องเรียงปี ~~ ปีละ 350 บาท สมัคร 2 ปีลดเหลือ 600 บาท ~~ มีไลน์กลุ่ม VIP จำนวนหลายร้อยท่าน เอาไว้ปรึกษางานซ่อม ~~ เข้าถึงข้อมูลด้านเทคนิค ข้อมูลเชิงลึกมากมาย.....
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มีน้องๆหลายคนถามมาใน Inbox ครับว่าหากต้องการเป็น Airplane Mechanic License หรือ แม้แต่ License Engineer ควรเริ่มจากการเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมหรือวิศวกรรมอากาศยานหรือไม่โดยน้องบางคนเข้าใจว่าการจบวิศวกรรมอากาศยาน พอจบไปจะเป็น License Engineer ได้เลย ซึ่งไม่ใช่ครับผมขอร่วมแบ่งปันตามมุมมองและประสบการณ์ดังนี้ครับสำหรับช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน อาชีพนี้น่าสนใจมากครับสำหรับน้องๆที่รักการบินครับ อาชีพช่างอากาศยานก็มีความสำคัญไม่แพ้อาชีพนักบินเลยครับขอเล่าประสบการณ์หลังจากที่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนและเคยร่วมจัดทำหลักสูตรช่างอากาศยาน รวมทั้งเคยเป็นกรรมการวิพากย์หลักสูตรนี้ให้กับทางมหาวิทยาลัยครับช่างอากาศยานทุกคน ก็ต้องมีเป้าหมายเป็น license engineer ซึ่งก็คืช่างอากาศยานที่มีความชำนาญเฉพาะแบบกับเครื่องบินโดยสารครับ ซึ่งคล้ายกับ Type Rating ในเครื่องบินโดยสารไอพ่นของนักบินนั่นเองครับเส้นทางของ License engineer ทุกคนก็ต้องเริ่มต้นจาก Aircraft mechanics license ก่อนครับ มีอย่างไรบ้าง1.จบสถาบันในหลักสูตรที่กรมการบินพลเรือนรับรอง ในปัจจุบันก็คือสถาบันการบินพลเรือนหลังจากนั้นต้องทำงานใน Air operator หรือ Repair station เป็นเวลา 1 ปี จากเมื่อก่อนต้องทำงานสองปีครับ ตอนนี้ลดลง 1 ปีสำหรับผู้ที่จบหลักสูตร Aircraft maintenance หรือ AM จากสถาบันการบินพลเรือนเท่านั้นครับและเมื่อทางบริษัทออกหนังสือรับรองประสบการณ์ให้ จึงมีสิทธ์ในการสอบ Aircraft mechanics license ครับ2.จบจากสถาบันที่กรมการบินพลเรือนไม่ได้รับรองหลักสูตร จากนั้นเช่นเดียวกันครับ เข้าทำงานใน Air operator หรือ Repair station เป็นเวลา 4 ปีครับ เป็นเวลาที่ค่อนข้างนานทีเดียว เช่นเดียวกันครับเมื่อทางบริษัทออกหนังสือรับรองประสบการณ์ให้ จึงมีสิทธ์ในการสอบ Aircraft mechanics license ครับจากนั้นเมื่อมี license ช่างอากาศยานซึ่งเป็นการผ่านด่านก้าวแรกแล้ว ก็จะทำงานในสายการบินเก็บประสบการณ์และสอบแข่งขันกันในสายการบินเพื่อเข้าเรียนช่างอากาศยานที่มีความชำนาญเฉพาะแบบกับเครื่องบินโดยสารไอพ่นเช่น Boeing 737 หรือ Airbus A 320 ครับ ซึ่งถ้าผ่านหลักสูตร ภาควิชาการและปฏิบัติ ผ่านการสอบจากกรมการบินพลเรือน ก็จะมีการประทับความชำนาญลงใน license และจะเรียกชื่อใหม่เป็น license Enginner ครับ ก็จะถึงจุดมุ่งหมายของคนที่ปฏิบัติงานในสายอาชีพนี้ครับ ซึ่งรายได้ดีถึงดีมากๆครับ ขึ้นกับสายการบิน ประสบการณ์ ความชำนาญครับจะเห็นว่าเส้นทางที่สองจึงมีน้องๆหลายคนที่อยากเป็นช่างอากาศยานฟโดยเริ่มต้นจากการเรียนเรียนวิศวกรรมรวมทั้งวิศวกรรมอากาศยานมา ซึ่งต้องเข้าทำงานในสายการบินให้ได้ก่อน และต้องทำงานเก็บประสบการณ์ 4 ปีจึงสามารถสอบ license ช่างอากาศยานซึ่งเป็นด่านแรกได้ครับ นั่นหมายความว่าน้องต้องใช้เวลาถึงแปดปีครับจึงจะสอบ license ช่างได้ครับ ก็ต้องพิจารณากันถึงความคุ้มค้าในรายจ่ายและเรื่องเวลาด้วยครับเพราะการนำเอาระบบการศึกษาแบบ Education กับ Technician มารวมกันอาจทำให้ใช้เวลานานเกินไปครับ เพราะ qualification หรือคุณสมบัติที่สายการบินต้องการคือมี license ช่างครับ ไม่ใช่จบวิศวกรรมครับ คนที่ทำงานกับเครื่องบินหลักคือต้องมี license ช่างครับจึงมีสิทธิในการเซ็นรับรองการซ่อมได้ครับ ซึ่งต่างจากใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมหรือ กว.ที่ใช้ในการเซ็นรับรองแบบครับ และอีกข้อที่เป็นความจริงซึ่งสำคัญมากคือในประเทศไทยยังไม่มีโรงงานผลิตเครื่องบินเหมือนแอร์บัสในฝรั่งเศสหรือโบอิ้งในอเมริกาครับขอแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากคนที่จบวิศวกรรมอากาศยานและการบินครับ เราเรียนกันลึกมาก ลึกจนกระทั่งสมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ออกแบบแพนอากาศของอากาศยานครับ เราเรียนขนาดแผนแบบอากาศยาน เลือกแพนอากาศ สร้างปีก ทดสอบอุโมงค์ลม จนกระทั่งทำออกแบบอากาศยานออกมาเป็นลำครับ ซึ่งเข้ามาความจริงเดิมครับ บ้านเราไม่มีโรงงานที่ออกแบบและผลิตเครื่องบินครับ ความรู้ดังกล่างจึงเป็นความรู้พื้นฐานในการปฏิบัติงานครับ เป็นความรู้พื้นฐานที่ดีมากครับ แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้มากนักในการปฏิบัติงานในบ้านเราซึ่งเน้นการซ่อมและการแก้ปัญหาหรือ trouble shooting ครับกลับมาเรื่องช่างอากาศยาน ลองมาดูกรณีศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาครับที่ผมเคยไปเรียนมาช่างอากาศยานของ FAA แบ่งกันครับ Airframe และ Powerplant ครับ ช่าง Airframe ก็ซ่อมเครื่องบินและระบบพื้นฐานอย่างเดียวและ Powerplant ก็ซ่อมเครื่องยนต์อย่างเดียวครับ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วที่อเมริกาเขานิยมเรียนทั้งสองอย่างครับเพื่อให้ซ่อมเครื่องบินได้ทั้ง Airframe และ Powerplant หรือที่เรียกว่า A and P ครับมาเส้นทางของ FAA Aircraft Maintenance Technician หรือ AMT ซึ่งเป็นด่านแรกของคนที่จะทำงานเส้นทางนี้กันครับ1. จบสถาบันที่สอนหลักสูตรซ่อมบำรุงอากาศยานที่ได้รับการรับรองจาก FAA ครับ ตามมาตรฐาน Federal Aviatio Regulation FAR 147 ครับ แต่ลองมาดูเส้นทางและความได้เปรียบนะครับ FAA กำหนดไว้ว่าผู้ที่จบหลักสูตรที่ FAA รับรองตาม FAR 147 โดยมีชั่วโมงภาควิชาการและชั่วโมงการปฏิบัติงานใน shop ซึ่งเน้นมาก จะสามารถสอบ FAA AMT หรือช่างอากาศยานของ FAA ได้เลยครับ ทำให้ปัญหาเรื่องระยะเวลาและความกังวลว่าจะได้งานในสายการบินหรือไม่หมดไปครับ เพราะในบ้านเราอย่างไรก็ตามต้องมีประสบการณ์การทำงานในสายการบินก่อนไม่ว่าจะเป็น 2ปีในหลักสูตรที่ บพ.รับรองหรือ 4 ปีในหลักสูตรที่ บพ.ไม่ได้รับรองครับ สำหรับค่าเรียน FAA AMT ก็จะแตกต่างกันตามสถาบันครับ โดยถ้าเป็นรัฐเช่น Community College ก็ประมาณห้าแสนกว่าบาทโดยสามารถเก็บหน่วยกิต ถ้าวางแผนจะเรียนปริญญาตรีต่อไปครับ แต่ถ้าเป็นสถาบันเอกชนก็จะประมาณแปดแสนกว่าบาทครับ2. อีกเส้นทางหนึ่งซึ่ง FAA ได้กำหนดไว้คือการปฏิบัติงานใน Repair station หรือ Air operator กับ FAA AMT เป็นเวลาสองปีครับก็สามารถสอบ FAA AMT ได้เช่นเดียวกันครับ แต่เส้นทางนี้ ยากมากและแทบเป็นไปไม่ได้สำหรับคนต่างชาติครับแต่ข้อได้เปรียบของ FAA AMT ซึ่งได้เปรียบมากๆ ก็คือเรื่องความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษครับ เพราะภาษาอังกฤษแทบจะเป็นหัวใจของการสื่อสารในการซ่อมบำรุงอากาศยานเลยครับ คู่มือในการซ่อมบำรุงอากาศยานต่างๆ Maintenance manual,Airworthiness Directive,Service Bulletine หรือแม้แต่ checklist รายการตรวจก็เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับและหาก FAA AMT สามารถมีความชำนาญเฉพาะแบบกับเครื่องบินโดยสารหรือเป็น License Engineer แล้ว ความต้องการบุคลากรกลุ่มนี้มีมาจากทั่วโลกครับ เพราะน้องๆผ่านปราการสำคัญเรื่องภาษาเรียบร้อยแล้วครับ ผมขอให้ข้อมูลไว้เป็นข้อพิจารณาจากความรู้และประสบการณ์ที่มีครับส่งท้ายครับหากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการบินและโดยเฉพาะการเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่โรงงานซ่อมครับ ตรงนั้นใช้เงินในการเนรมิตได้ แต่ช่างซ่อมบำรุงอากาศยานที่ทำงานในศูนย์ซ่อมครับที่เราต้องเร่งผลิต กลับมามองในบ้านเราสถาบันที่เปิดคือสถาบันการบินพลเรือนซึ่งผู้ที่จบการศึกษาในแต่ละปียังมีจำนวนที่จำกัดมากครับหรือหากมหาวิทยาลับยหรือผู้ที่สนใจจะทำสถาบันแห่งที่สองขอให้ข้อมูลเลยครับว่า shop และ handtool specialtool ใช้งบประมาณการลงทุนที่สูงมากครับ ทำให้ปัญหาของจำนวนช่างอากาศยานที่เข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินยังคงเป็นที่พิจารณากันต่อไปครับซึ่งในเรื่องความได้เปรียบในเรื่องของเวลาในการเรียนและการสอบ license ได้ทันทีหลังเรียนจบ เราน่าจะเริ่มพิจารณาในการส่งผู้ที่สนใจไปเรียนยังสถาบัน AMT FAR 147 ในประเทศอเมริกาครับซึ่งเราจะได้ทั้งช่างอากาศยานที่มีทั้งคุณภาพและเก่งภาษาอังกฤษจากต่างประเทศครับฝากเป็นข้อพิจารณาให้กับน้องๆที่สนใจรวมทั้งผู้มีอำนาจในการผลักดันอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยในระดับนโยบายครับ
เห็นด้วยกับคุณ somchanok ผมจบ aero eng จากอังกฤษมา 30 กว่าปีแล้ว บ้านเราเพิ่งเริ่มแล้วก็เริ่มแบบผิดทิศผิดทาง เอาแต่กฏทฤษฎีให้ได้ปริญาตรี เอามาทำไมไม่รู้หากินไม่ได้เพราะบ้านเราไม่ใช่แหล่งผลิตเครื่องบินหรือแม้แต่ชิ้นส่วนเครื่องบินยังทำไม่ได้เลย เราต้องการคนในส่วนของปฏิบัติการครับผมเห็นด้วยอย่างแรง สำหรับคนรวยเจ้าของโรงงานน่าจะดูเรื่องนี้สักนิดนะครับ http://arsa.org/pma-singapore/