พวงมาลัยเพาเวอร์ รุ่นปกติที่ใช้กันนั้น น้ำหนักของพวงมาลัย จะหนักหรือเบา ขึ้นอยู่กับ ปั้มน้ำมันไฮดรอลิคซึ่งทำงานโดยหมุนตามรอบเครื่อง โดยมีสายพานและพู่เล่ เป็นตัวฉุดกำลังครับ
**** ปกติ บริษัทรถยนต์ จะออกแบบทดกำลังของพวงมาลัยเพาเวอร์มาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมครับ ****
การที่ผู้ใช้รถต้องการให้พวงมาลัยหนักหรือเบาขึ้น สามารถปรับแก้ได้ 2 จุดครับ คือ
1. เปลี่ยนหน้ายางให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงครับ (ใหญ่ = หนักขึ้น, เล็ก = เบาลง)
2. เปลี่ยนขนาดพู่เล่ให้เล็กหรือใหญ่ขึ้น (เล็ก = เบาลง, ใหญ่ = หนักขึ้น)
แต่ไม่ว่าการเปลี่ยนในลักษณะไหนก็ตาม ก็จะทำให้ระบบเพาเวอร์ทำงานผิดจากปกติ ซึ่งอาจจะทำให้ปั๊มน้ำมันไฮโดรลิคเสื่อมสภาพเร็วขึ้น (ยิ่งการทำให้พวงมาลัยเบาขึ้นโดยการเปลี่ยนขนาดพู่เล่ หรือปรับเปลี่ยนหน้ายางให้ใหญ่ขึ้น)
ปั๊มน้ำมันไฮไดรลิคของพวงมาลัยเพาเวอร์บางรุ่น ที่กระปุกพวงมาลัยจะมีวาล์วแปรผันปรับการทำงานด้วยไฟฟ้า ซึ่งส่งสัญญาณมาจาก ECU แจ้งความเร็วของรถ (ปกติรถยิ่งวิ่งเร็ว พวงมาลัยยิ่งเบา แต่ถ้ามีวาล์วแปรผัน ตัววาล์วจะปรับแรงดันน้ำมันให้พวงมาลัยหนักขึ้น ช่วยให้ความปลอดภัยมากขึ้น) ฉนั้นการที่ผู้ใช้จะปรับเปลี่ยนขนาดของพู่เล่ เพื่อปรับขนาดของน้ำหนักพวงมาลัย จะต้องคำนึงและระวังถึงระบบปั๊มน้ำมันไฮโดรลิคให้มากด้วยครับ
ตรงนี้มีภาพ! แต่ท่านจะมองไม่เห็น , ท่านต้อง สมัครสมาชิก หรือ
ลงชื่อเข้าระบบระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ใช้ในเครื่องยนต์หัวฉีดที่ควบคุมด้วยอิเล็คทรอนิคส์ (EFI) ในปัจจุบันจะมีระบบชดเชยรอบเดินเบาพวงมาลัยเพาเวอร์ติดตั้งอยู่ด้วย เนื่องจากการหักเลี้ยวพวงมาลัยในขณะรถจอดอยู่กับที่ หรือที่ความเร็วต่ำๆ จะทำให้กำลังของเครื่องยนต์ลดลง ระบบชดเชยรอบเดินเบาพวงมาลัยเพาเวอร์ประกอบด้วยวาล์วควบคุมอากาศที่ทำงานด้วยไฮดรอลิก และวงจรสุญญากาศที่ต่อบายพาสลิ้นปีกผีเสื้อ เมื่อไหร่ก็ตามที่แรงดันในระบบพวงมาลัยเพาเวอร์สูงเกินกว่าวาล์วควบคุมที่ตั้งไว้ วาล์วก็จะเปิดให้แรงดันส่วนเกินบายพาสออกไป เราสามารถทดสอบการทำงานโดยการหมุนพวงมาลัยในขณะจอดรถอยู่กับที่ และฟังเสียงของรอบเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น